เมนู

17. ภูมิจาลสูตร


[157] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กูฏาคาร-
ศาลา ป่ามหาวัน ใกล้นครเวสาลี ครั้งนั้นแล เวลาเช้า พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงครองอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตร์และจีวร เสด็จ
เข้าไปบิณฑบาตยังนครเวสาลี ครั้นเที่ยวบิณฑบาตในนครเวสาลี
แล้ว ในเวลาปัจฉาภัต เสด็จกลับจากบิณฑบาตแล้ว ตรัสกะท่าน
พระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ จงถือผ้านิสีทนะ เราจะเข้าไปยัง
ปาวาลเจดีย์ เพื่อพักกลางวัน ท่านพระอานนท์ทูลรับพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าแล้ว ถือผ้านิสีทนะตามพระผู้มีพระภาคเจ้าไปข้างหลัง.
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปยังปาวาลเจดีย์
ประทับนั่งบนอาสนะที่ปูไว้ แล้วตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ดูก่อน
อานนท์ นครเวสาลีเป็นที่น่ารื่นรมย์ อุเทนเจดีย์ก็น่ารื่นรมย์
โคตมกเจดีย์ พหุปุตตกเจดีย์ สัตตัมพเจดีย์ สารันททเจดีย์ ปาวาล-
เจดีย์ ล้วนน่ารื่นรมย์ ดูก่อนอานนท์ ผู้ใดผู้หนึ่งเจริญทำให้มาก
ซึ่งอิทธิบาท 4 ทำให้เป็นดุจยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ให้มั่นคง สั่งสม
ปรารภดีแล้ว ผู้นั้นหวังอยู่ พึงดำรงอยู่ได้กับหนึ่ง หรือเกินกว่ากัป
ดูก่อนอานนท์ ตถาคตเจริญ กระทำให้มากซึ่งอิทธิบาท 4 ทำให้
เป็นดุจยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ให้มั่นคง สั่งสม ปรารภดีแล้ว ตถาคต
หวังอยู่ พึงดำรงอยู่ได้กัปหนึ่งหรือเกินกว่ากัป เมื่อพระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงกระทำนิมิตรแจ้งชัด ทรงกระทำโอภาสแจ้งชัดแม้

อย่างนี้ ท่านพระอานนท์ก็ไม่อาจจะรู้ทัน จึงไม่ทูลอาราธนาพระผู้มี-
พระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าพึง
ทรงดำรงอยู่ตลอดกัป ขอพระสุคตพึงทรงดำรงอยู่ตลอดกัป เพื่อ
ประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก เพื่อสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์
โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์
ทั้งหลาย เพราะถูกมารเข้าดลใจ แม้ครั้งที่ 2 แม้ครั้งที่ 3 พระผู้มี-
พระภาคเจ้าก็ตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ นครเวสาลี
เป็นนครที่น่ารื่นรมย์ อุเทนเจดีย์ก็น่ารื่นรมย์ โคตมกเจดีย์ พหุ-
ปุตตกเจดีย์ สัตตัมพเจดีย์ สารันททเจดีย์ ปาวาลเจดีย์ ล้วนน่า
รื่นรมย์ ดูก่อนอานนท์ ผู้ใดผู้หนึ่งเจริญ กระทำให้มากถึงอิทธิบาท
4 ทำให้เป็นดุจยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ให้มั่นคง สั่งสม ปรารภดีแล้ว ฯลฯ
ตถาคตหวังอยู่ พึงดำรงอยู่ได้รูปหนึ่งหรือเกินกว่ากัป เมื่อพระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงกระทำนิมิตแจ้งชัด ทรงกระทำโอภาสแจ้งชัดแม้
อย่างนี้ ท่านพระอานนท์ก็ไม่อาจจะรู้ทัน จึงไม่ทูลอาราธนาพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า
พึงทรงดำรงอยู่ตลอดกัป ขอพระสุคตพึงทรงดำรงอยู่ตลอดกัป
เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก เพื่อสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่อ
อนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข แกเทวดา
และมนุษย์ทั้งหลาย เพราะถูกมารเข้าดลใจ ครั้งนั้นแล พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ เธอจงไปเถิด
บัดนี้เธอย่อมสำคัญกาลที่สมควร ท่านพระอานนท์ทูลรับพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า ลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า

กระทำประทักษิณแล้วไปนั่ง ณ โคนไม้แห่งหนึ่ง ในที่ไม่ไกล
พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ครั้งนั้นแล เมื่อท่านพระอานนท์หลีกไปแล้วไม่นาน มารผู้
ลามกได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
บัดนี้เป็นกาลปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระวาจานี้ไว้ว่า ดูก่อนมาร
ผู้ลามก เราจักยังไม่ปรินิพพาน ตราบเท่าที่พวกภิกษุสาวกของเรา
ยังไม่ฉลาด ไม่ได้รับแนะนำ ไม่แกล้วกล้า ยังไม่บรรลุธรรมอัน
เกษมจากโยคะ ยังไม่เป็นพหูสูต ไม่ทรงธรรม ไม่ปฏิบัติธรรม
สมควรแก่ธรรม ยังไม่ปฏิบัติชอบ ยังไม่ประพฤติตามธรรม ไม่
เรียนอาจาริยวาทของตนแล้วบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย
จำแนก กระทำได้ง่าย ไม่แสดงธรรมมีปฏิหาริย์ย่ำยีด้วยศีล
ปรัปปวาทที่เกิดขึ้นแล้วโดยชอบธรรม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
บัดนี้ ภิกษุสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ฉลาด ได้รับแนะนำ
แกล้วกล้า บรรลุธรรมอันเกษมจากโยคะ เป็นหูสูต ทรงธรรม
ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ประพฤติตามธรรม
เรียนอาจาริยวาทของตนแล้ว บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย
จำแนก กระทำให้ง่าย แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ย่ำยีด้วยดีซึ่งปรัปปวาท
ที่เกิดขึ้นแล้วโดยชอบธรรม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ขอพระผู้มี-
พระภาคเจ้าจงเสด็จปรินิพพานเถิด ขอพระสุคตจงเสด็จปรินิพพาน
เถิด บัดนี้ เป็นกาลปรินิพพานแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสพระวาจานี้ไว้ว่า ดูก่อนมารผู้ลามก เราจักยังไม่

ปรินิพพาน ตราบเท่าที่ภิกษุณีสาวิกาของเรา ฯลฯ อุบาสกสาวก
ของเรา ฯลฯ อุบาสิกาสาวิกาของเรา ยังไม่ฉลาด ยังไม่ได้รับแน่นำ
ยังไม่แกล้วกล้า ยังไม่บรรลุธรรมอันเกษมจากโยคะ ยังไม่เป็น
พหูสูต ยังทรงจำธรรมไม่ได้ ยังปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมไม่ได้
ยังไม่ปฏิบัติชอบ ยังไม่ประพฤติตามธรรม ไม่เรียนอาจาริยวาท
ของตนแล้ว บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำ
ให้ง่าย ไม่แสดงธรรมมีปฏิหาริย์ย่ำยีด้วยดีซึ่งปรัปปวาทที่เกิดขึ้น
แล้วโดยชอบธรรม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ อุบาสิกาสาวิกา
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ฉลาด ได้รับแนะนำ แกล้วกล้า
บรรลุธรรมอันเกษมจากโยคะ เป็นพหูสูต ทรงธรรม ปฏิบัติธรรม
สมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ประพฤติตามธรรม เรียนอาจาริยวาท
ของตนแล้ว บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก
ทำให้ง่าย แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ย่ำยีด้วยดีซึ่งปรัปปวาทที่เกิดขึ้น
แล้วโดยชอบธรรม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ ขอพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าจงเสด็จปรินิพพานเถิด ข้อพระสุคตจงเสด็จปรินิพพานเถิด
บัดนี้เป็นกาลปรินิพพานแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสพระวาจานี้ไว้ว่า ดูก่อนมารผู้ลามก เราจักยังไม่
ปรินิพพานตราบเท่าที่พรหมจรรย์ของเรานี้ยังไม่เจริญแพร่หลาย
กว้างขวาง ชนเป็นอันมาก ยังไม่รู้ทั่ว ยังไม่แน่นหนา เทวดาและ
มนุษย์ทั้งหลายยังไม่ประกาศดีแล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้
พรหมจรรย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าเจริญแพร่หลายกว้างขวาง
ชนเป็นอันมากรู้ทั่ว แน่นหนา เทวดาและมนุษย์ประกาศดีแล้ว

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงเสด็จปรินิพพาน
เถิด ของพระสุคตจงเสด็จปรินิพพานเถิด บัดนี้ เป็นกาลปรินิพพาน
แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนมารผู้ลามก ท่านจงเป็น
ผู้ขวนขวายน้อยเถิด ไม่นานนักตถาคตจักปรินิพพาน แต่นี้ล่วงไป
3 เดือน ตถาคตจักปรินิพพาน ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงมีสติสัมปชัญญะ ปลงอายุสังขาร ณ ปาวาลเจดีย์ เมื่อพระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงปลงอายุสังขารแล้ว แผ่นดินไหวใหญ่ น่าสะพึงกลัว
โลมชาติชูชัน กลองทิพย์ก็บันลือลั่น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบ
เนื้อความนั้นแล้ว จึงทรงเปล่งพระอุทานในเวลานั้นว่า
มุนีได้ปลงเครื่องปรุงแต่งภพ อันเป็นเหตุ
สมภพทั้งชั่งได้ ทั้งที่ชั่งไม่ได้ ยินดีในภายใน
มีจิตตั้งมั่น ได้ทำลายกิเลสที่เกิดในตนเหมือน
ทหารทำลายเกราะ ฉะนั้น.

ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ได้มีความคิดดังนี้ว่า แผ่นดินนี้
ไหวใหญ่หนอ แผ่นดินนี้ไหวใหญ่จริงหนอ น่าสะพึงกลัว โลมชาติ
ชูชัน ทั้งกลองทิพย์ก็บันลือลั่น อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่ง
ความปรากฏแผ่นดินไหวใหญ่ ลำดับนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไป
เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ แผ่นดินนี้ไหวใหญ่หนอ แผ่นดินนี้ไหวใหญ่จริงหนอ

น่าสะพึงกลัว โลมชาติชูชัน ทั้งกลองทิพย์ก็บันลือลั่น อะไรหนอ
เป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งความปรากฏแผ่นดินไหวใหญ่.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ เหตุปัจจัย 8
ประการนี้เเห่งความปรากฏแผ่นดินไหวใหญ่ 8 ประการเป็นไฉน
ดูก่อนอานนท์ แผ่นดินใหญ่ตั้งอยู่บนน้ำ น้ำตั้งอยู่บนลม ลมตั้ง
อยู่บนอากาศ สมัยนั้นลมพายุพัดจัด ลมพายุพัดให้น้ำไหว น้ำ
ไหวแล้วทำให้แผ่นดินไหว ดูก่อนอานนท์ นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัย
ประการที่ 1 แห่งความปรากฏแผ่นดินไหวใหญ่.
อีกประการหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์มีฤทธิ์ บรรลุความ
ชำนาญทางจิตหรือเทวดาผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก เจริญ
ปฐวีสัญญานิดหน่อย เจริญอาโปสัญญาหาประมาณมิได้ ย่อมยัง
แผ่นดินนี้ให้สะเทื้อนสะท้านหวั่นไหว. ดูก่อนอานนท์ นี้เป็นเหตุ
เป็นปัจจัยประการที่ 2 แห่งความปรากฏแผ่นดินไหวใหญ่.
อีกประการหนึ่ง เมื่อใด พระโพธิสัตว์จุติจากชั้นดุสิต มี
สติสัมปชัญญะ ลงสู่พระครรภ์พระมารดา เมื่อนั้น แผ่นดินนี้ย่อม
สะเทื้อนสะท้านหวั่นไหว ดูก่อนอานนท์ นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยประการ
ที่ 3 แห่งความปรากฏแผ่นดินไหวใหญ่.
อีกประการหนึ่ง เมื่อใด พระโพธิสัตว์มีสติสัมปชัญญะ
ประสูติจากพระครรภ์มารดา เมื่อนั้น แผ่นดินนี้ย่อมสะเทื้อนสะท้าน
หวั่นไหว ดูก่อนอานนท์ นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยประการที่ 4 แห่ง
ความปรากฏแผ่นดินไหวใหญ่.

อีกประการหนึ่ง เมื่อใด พระตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมา-
สัมโพธิญาณ เมื่อนั้น แผ่นดินนี้ย่อมสะเทื้อนสะท้านหวั่นไหว ดูก่อน
อานนท์ นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยประการที่ 5 แห่งความปรากฏแผ่นดิน
ไหวใหญ่.
อีกประการหนึ่ง เมื่อใด พระตถาคตทรงประกาศอนุตตร-
ธรรมจักร เมื่อนั้น แผ่นดินนี้ย่อมสะเทื้อนสะท้านหวั่นไหว ดูก่อน
อานนท์ นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยประการที่ 6 แห่งความปรากฏแผ่นดิน
ไหวใหญ่.
อีกประการหนึ่ง เมื่อใด ตถาคตทรงมีสติสัมปชัญญะ ปลง
อายุสังขาร เมื่อนั้น แผ่นดินนี้ย่อมสะเทื้อนสะท้านหวั่นไหว ดูก่อน
อานนท์ นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยประการที่ 7 แห่งความปรากฏแผ่นดิน
ไหวใหญ่.
อีกประการหนึ่ง เมื่อใด ตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสส-
นิพพานธาตุ เมื่อนั้น แผ่นดินนี้ย่อมสะเทื้อนสะท้านหวั่นไหว ดูก่อน
อานนท์ นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยประการที่ 8 แห่งความปรากฏแผ่นดิน
ไหวใหญ่ ดูก่อนอานนท์ เหตุปัจจัย 8 ประการนี้แล แห่งความ
ปรากฏแผ่นดินไหวใหญ่.
จบ ภูมิจาลสูตรที่ 17
จบ จาลวรรคที่ 2

อรรถกถาภมิจาลสูตรที่ 10


ภูมิจาลสูตรที่ 10

มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้:-
ในบทว่า นิสีทนํ นี้ ท่านประสงค์เอาท่อนหนัง. บทว่า
อุทฺเทนเจติยํ ท่านกล่าวหารที่เขาสร้างไว้ในที่อยู่ของอุทเทนยักษ์.
แม้ในโคตมกเจดีย์เป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน. บทว่า ภาวิตา แปลว่า
เจริญแล้ว. บทว่า พหุลีกตา แปลว่า. กระทำให้มาก. บทว่า ยานีกตา
แปลว่า ทำให้เป็นดุจยานที่เทียมแล้ว. บทว่า วตฺถุกตา แปลว่า
ทำให้เป็นดุจที่ตั้ง เพราะอรรถว่าเป็นที่พึงอาศัย. บทว่า อนุฏฺฐิตา
แปลว่า ตั้งไว้แล้ว. บทว่า ปริจิตา แปลว่า สั่งสมแล้ว โดยรอบ คือ
เจริญดีแล้ว. บทว่า สุสมารทฺธา แปลว่า เริ่มไว้เป็นอย่างดีแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสโดยมิได้กำหนดอย่างนี้แล้ว
เมื่อจะทรงแสดงโดยกำหนดแน่นอนอีก จึงตรัสคำมีอาทิว่า ตถาคตสฺส
โข
ดังนี้. ก็ในที่นี้บทว่า กปฺปํ ได้แก่ อายุกัป (คือกำหนดอายุอย่าง
สูงของคนในยุคนั้น ๆ). พระผู้มีพระภาคเจ้าพึงดำรงพระชนม์อยู่
ตลอดกำหนดอายุของคนทั้งหลายในสมัยนั้น ๆ อย่างเต็มที่. บทว่า
กปฺปาวเสสํ วา ได้แก่ หรือเกิน 100 ปีซึ่งได้ตรัสไว้ว่า "น้อย
หรือยิ่งกว่า". แต่พระมหาสิวเถระกล่าวว่า ธรรมดาว่าพระพุทธะ
ทั้งหลาย ย่อมไม่ทรงบันลือในที่มิใช่ฐานะ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงเข้าสมาบัติบ่อย ๆ ทรงข่มเวทนาใกล้ตายได้ พึงดำรงอยู่ได้
ตลอดภัทรกัปทีเดียว. ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระองค์จึงไม่ดำรง
อยู่ตลอดภัทรกัป ? ตอบว่า ขึ้นชื่อว่าสรีระที่มีใจครอง ถูกชรา